วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

แหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณของโลก

อารยธรรม

       คำว่า อารยธรรม มีความหมายตามศัพท์ว่า เจริญงอกงาม ตรงกับภาษาอังกฤษว่า civilization มาจากคำภาษาละตินว่า civilis ซึ่งหมายถึง พลเมือง civitas แปลว่า เมืองหรือนคร ความหมายของอารยธรรมทั่วไปจึงมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์อารยธรรมและสังคมเมืองพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (1367)ให้ความหมาย อารยธรรมว่า ความสงบสุขของสังคมที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งศีลธรรมและกฎหมาย; ความเจริญเนื่องด้วยองค์การของสังคม เช่น การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรม, ความเจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดี โดยทั่วไปอารยธรรมหลักของโลกมีลักษณะเด่น คือ การมีความเจริญเป็นรุปแบบเฉพาะของตนเองและสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะร่วมกัน คือ อารยธรรมส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยได้รับแรงกระตุ้นจากอารยธรรมที่เก่าแก่กว่า ดังเช่น อารยธรรมอียิปต์โบราณ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียในช่วงระยะหนึ่ง

    

กำเนิดของอารยธรรกับพัฒนาการความคิด
ความเจริญและวิทยาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันล้วนมี รากฐานมาจากอารยธรรมในสมัยโบราณแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ได้มีการผสมผสานกันและเชื่อมโยงกันระหว่างอารยธรรมเก่าและใหม่และมี การสืบทอดกันต่อๆ มา แหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลกสมัยโบราณเกิดขึ้นที่บริเวณราบลุ่มแม่น้ำที่ สำคัญ โดยเริ่มจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์โบราณ อารยธรรมอินเดียโบราณ และอารยธรรมจีนโบราณ ต่อจากนั้นเป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นบริเวณริมฝั่งทะเล คือ อารยธรรมกรีกโบราณ และมาสิ้นสุดสมัยนี้ที่อารยธรรมโรมันโบราณ อารยธรรมเหล่านี้ถือว่าเป็นแหล่งเชื่อมสัมพันธ์และติดต่อกันและเป็นรากฐาน ของความเจริญให้แก่ดินแดนทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกในปัจจุบัน

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
คำว่า เมโสโปเตเมีย เป็นภาษากรีกมาจากคำว่า Mesos เท่ากับภาษาอังกฤษว่า Middle และคำว่า Potamos เท่ากับภาษาอังกฤษว่า River รวมความแล้วหมายถึง “ดินแดนระหว่างแม่น้ำ” (land between the rivers) ได้แก่ที่ราบระหว่างแม่น้ำไทกริส (Tigris) ทางตะวันออก และแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates) ทางตะวันตก พื้นที่นี้ตั้งอยู่ทางทิสตะวันตกเฉียงใต้ของเอเชียในบริเวณที่เชื่อมต่อ ระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอปริกา โดยเฉพาะทางตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งหันออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นจุดเชื่อมโยงติดต่อกับอารยธรรมอียิปต์โบราณ พื้นที่ของแหล่งอารยธรรมทั้งหมดจะกินอาณาบริเวณจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไป สู่อ่าวเปอร์เซีย มีลักษณะเป็นรูปเสี้ยวจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ครอบคลุมดินแดนบางส่วนในประเทศอิรักและซีเรียในปัจจุบัน ถือเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเก่าแก่แห่งแรก เมื่อราว 3,500 ปี ก่อนคริสตกาล


จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเมโสโปเตเมีย เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำมีการทับถมของดินตะกอนตามชายฝั่งแม่น้ำทั้งสอง ทำให้บริเวณแถบนี้อุดมสมบูรณ์และมีสภาพเหมาะสมแก่การเพาะปลูก แม้ว่าสภาพอากาศในดินแดนแถบนี้จะแปรปรวนไม่จนสามารถคาดเดาได้ก็ตาม เกิดความแห้งแล้งลำน้ำท่วมเป็นประจำ อันเป็นเหตุให้การควบคุมน้ำหรือการชลประทานสำคัญจำเป็นต่อการทำกสิกรรมของ ผู้คนแถบนี้ นอกจากนั้นแล้ว ทางบกยังติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เชื่อมต่ออียิปต์และอารยธรรมที่กำลังก่อตัวในยุโรปได้ทางตอนใต้ก็ยังเปิดสู่ อ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเออำนวยต่อการขนส่งค้าขายทางทะเลกับอารยธรรมที่ห่างไกล เช่น สินธุ ลักษณะเช่นนี้เอง ทำให้ดินแดนเมโสโปเตเมียแห่งนี้ เป็นที่หมายปองของชนกลุ่มต่างๆ


แผนที่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ช่วงประมาณ 4000 ปีก่อนคริสตกาลลงมาพบว่า มนุษย์ที่เมโสโปเตเมียเริ่มเรียนรู้การใช้โลหะทองแดง และพบหลักฐานความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ และดาราศาสตร์ เป็นต้น ถัดมาประมาณ 3600-2800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ในยุคอูรุก (Uruk) ถือเป็นการเริ่มต้นอารยธรรมเมืองในลักษณะนคร-รัฐ (city-state) และที่นี้มีวิหารสองแห่ง คือ วิหารสำหรับบูชาเทพอาทิตย์และวิหารสำหรับบูชาเทพอินันนา (Inanna) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์


เทพี Inanna 

เทพในช่วงนี้ของเมโสโปเตเมียมีหลายองค์ เช่น วัวกระทิง ซึ่งมีความหมายถึงสวรรค์ Enlil เป็นเทพของสายฟ้าหรือดินฟ้าอากาศ Ea เป็นเทพแห่งน้ำและมีการสร้างวิหารที่เรียกว่า “ซิกกูแรต” (Ziggurat) หมายถึง ห้องรอคอยเพื่อบูชาหรือพบพระเจ้า สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นสถานที่ติดต่อหรือเชื่อมระหว่างโลกและสวรรค์


ซิกกูแรต 

ช่วงประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยกรรม ตัวอักษร ศิลปกรรมอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ

ลักษณะสังคมของชาวสุเมเรียนเป็นอารยธรรมแบบเมือง ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ เช่น ชาวนา ช่างโลหะ ช่างทอง พระ ขุนนางและผู้ปกครองหรือกษัตริย์ ชาวสุเมเรียนมีการปกครองแบบรัฐศาสนา คือมีนักบวช ซึ่งนอกจากทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อแล้ว ยังเป็นผู้บริหารจัดการเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรอีก เช่น การจักสรรน้ำและที่ดินเพื่อการเกษตร การแลกเปลี่ยนค้าขาย ธนาคาร เป็นต้น นักบวชและวัดในสมัยนี้จึงมีบทบาทสำคัญมาก


มรดกชิ้นสำคัญซึ่งชาวสุเมเรียนได้สร้างไว้ คือ การประดิษฐ์อักษรใช้บันทึกเรื่องราวต่างๆ โดยใช้ไม้หรือโลหะแหลมจารลงบนแผ่นดินเหนียวโดยพัฒนาจากตราประทับทรงกระบอก ที่เป็นอักษรภาพง่ายๆ เวลาใช้ต้องนำกระบอกกลิ้งหมุนบนแผ่นดินเหนียว เป็นจุดกำเนิดของตัวอักษรครั้งแรกจนกลายเป็นอักษรรูปลิ่ม และผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นต้นตอของตัวอักษรกรีก และละติน

อักษรรูปลิ่ม
จากความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองของชาวเมโสโปเตเมียได้ดึงดูดกลุ่มชนอัค คาเดียน ซึ่งเป็นกลุ่มของพวก Semite และบรรพบุรุษของชาวยิว Hebrew ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรอารเบีย (Arabia) ได้แทรกซึมเข้ามาในดินแดนของชาวสุเมเรียนและได้ยึดครองเมโสโปเตเมีย ประมาณปี 2,360 ก่อนคริสตกาล ชาวอัคคาเดียนได้ปกครองดินแดนเมโสโปเตเมียอยู่ประมาณ 200 ปี กษัตริย์ที่สำคัญของอัคคาเดียนคือ พระเจ้าซาร์กอน (Sargon) ได้รวบรวมนครรัฐของสุเมเรียนทั้งหมด การรวมครั้งนี้มีผลให้อารยธรรมของพวกสุเมเรียนจากตอนล่างของลุ่มแม่น้ำไทกริ สและยูเฟรติส ได้ขยายขึ้นเหนืออย่างกว้างขวาง ผลจากการครอบครองสุเมเรียนของชาวอัคคาเดียนทำให้เทพเจ้าของพวกเขาที่ชื่อว่า “มาร์ดุก” (Marduk) เข้ามาเป็นเทพเจ้าสูงสุดแทนที่เทพ Enlil เดิม

เทพเจ้ามาร์ดุก
ชนชาติถัดมาที่เข้ายึดครองดินแดนเมโสโปเตเมียคือ ชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองยูรุก (Uruk) ใกล้แม่น้ำยูเฟรตีส ในสมัยนี้มีกษัตริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “ฮัมมูราบี” เป็นผู้สร้างความยิ่งใหญ่และความเจริญแก่ดินแดนเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบัญญัติกฎหมายบังคับใช้ในดินแดนของพระองค์ เรียกว่า “ประมวลกฎหมายแห่งฮัมมูราบี” (Code of Hammurabi) กฎหมายนี้มีลักษณะการลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการควบคุมคน แทนการใช้จารีตประเพณีและความเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ และเทพเจ้า

รูปแท่นหินจารึกกฎหมายฮัมมูราบ
หลังจากกษัตริย์ฮัมมูราบีสิ้นอำนาจลง ก็มีชนเผ่าหลายชนเผ่า ได้แก่ ชาวฮิตไตท์ (Hitties) ชาวแคสไซส์ (Kassites) ชาวอีลาไมล์ (Elamites) และชาวอัสซีเรียน (Assyrians) แต่ชาวอัสซีเรียนถือว่าเป็นชนเผ่าที่มีบทบาทในการสร้างอารยธรรมอย่างโดดเด่น โดยในช่วงแรกได้ย้ายเมืองจากหลวงจากกรุบาบิโลนมาตั้งที่เมืองอัสซูร์ (Assur) ซึ้งตั้งอยู่บนริมฝั่งตอนกลางของแม่น้ำไทกริส และได้ครองอำนาจถึงขีดสุดระหว่าง 712-612 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอัสซีเรียนได้ขยายอำนาจการปกครองครอบคลุมไปถึงซีเรียน ปาเลสไตน์ และบางส่วนของอียิปต์

จากอำนาจและบทบาททางอารยธรรมของชาวอัสซีเรียนทำให้เทพอสูร (Assur) ซึ่งเป็นเทพประจำเมืองอัสซูร์ ได้รับการยอมรับนับถืออย่ากว้างขวางและมีความสำคัญเท่ากับเทพมาร์ดุก (Marduk) ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชาวอัคคาเดียนเดิม และได้ขยายอิทธิพลความเชื่อต่ออารยธรรมอื่นๆ เช่น เปอร์เซีย และอินเดีย แต่ด้วยความโหดร้ายของชาวอัสซูร์ทำให้ประชาชนต่อต้านและเสื่อมอำนาจลงในที่ สุด ทำให้บทบาทของอสูรเทพของชาวอัสซีเรียนลดบทบาทลงและเสื่อมคลายไปจนกลายเป็น ตัวร้ายในนิทาน แนวความคิดเรื่องอสูรเทพนี้มีอิทธิพลต่อวรรณคดีไทย เพราะวรรณคดีไทยหลายเรื่องได้รับแนวคิดมาจากอารยธรรมอินเดียอีกทอดหนึ่ง

ต่อมาเมื่อชาวอัสซีเรียนพ่ายแพ้สงครามต่อชาวเมเดสและชาวเมืองบาบิ โลน อำนาจการปกครองจึงเปลี่ยนไปและเริ่มต้นยุคใหม่ เรียกยุคนี้ว่า “ยุคบาบิโลนใหม่” หรือ “นีโอบาบิโลน” (Neo Babylon) ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเนบุชัดเนซซาร์ที่สอง (Nebuchadnessar II) กษัตริย์พระองค์นี้ถือว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจ พระองค์ได้ยกทัพไปรบชนะชาวยิวยึดครองนครเยรูซาเล็ม ได้เชลยชาวยิวมาเป็นแรงงาน ในยุคของพระองค์ได้มีการก่อสร้างวิหารและพระราชวังหลายแห่ง และผลงานทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญและถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดแห่ง ของโลกสมัยโบราณคือ “สวนลอยแห่งเมืองบาบิโลน” (The hanging gardens of Babylon) ซึ่งเป็นสวนที่มีถนนกว้างปูลาดด้วยแผ่นหินและลาดด้วยยางมะตอย เพื่อให้เป็นเส้นทางของขบวนแห่เฉลิมฉลองเทพมาร์ดุก (Marduk) ซึ่งกลับมามีบทบาทสำคัญต่อชาวเมืองบาบิโลนอีกครั้ง

ภาพวาดสวนลอยบาบิโลน

สิงห์โตแห่งบาบิโลน

ซากสวนลอยแห่งบาบิโลน

กำแพงแห่งสวนลอยบาบิโลน
จักรวรรดิบาบิโลนใหม่ รุ่งเรืองจนถึงประมาณ 539 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรบาบิโลนก้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพระเจ้าไซรัสมหาราช (Cyrus, the Great) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ดินแดนเมโสโปเตเมียซึ่งรุ่งเรืองผ่านการปกครองและอารยธรรมชนเผ่าต่างๆ มายาวนาน ก็สิ้นสุดลงในที่สุด
อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้พัฒนาขึ้นถึงขีดสุดผ่านกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ที่ เข้ามาครอบครองและผสมผสานความคิดความเชื่อของตนเองกับชนเผ่าต่างๆ ชีวิตของชาวเมโสโปเตเมียผูกพันกับพระและวัดอย่างมาก ชาวสุเมเรียนซึ่งเป็นชนกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมีย มีลักษณะความเชื่อในเทพเจ้าและโลกหลังความตายเป็นหลัก และมีการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งเทพเจ้าแต่ละองค์ก็มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตให้คุณและโทษแก่ตนเอง เช่น อูโต เทพแห่งดวงอาทิตย์ อินันนา เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และความรัก อินลิล เทพแห่งสายฟ้า หรือดิน ฟ้า อากาศ เป็นต้น นอกจากการนับถือเทพเจ้าแล้วแล้ว ชาวสุเมเรียนยังเชื่อในไสยศาสตร์ นับถือโชคลางและปรากฏการณ์ธรรมชาติอีกด้วย ผู้มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างชุมชนกับเทพเจ้าคือ พระ โดยผ่านการทำพิธีกรรม เช่นการจัดหารอาหาร และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การสร้างที่พำนักให้แก่เทพเจ้า และมีเทพเจ้าหลายองค์ที่กลายเป็นเทพเจ้าประจำรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับนับถือเทพเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย

พัฒนาการทางความคิดที่สำคัญของชาวสุเมเรียนอีกประการหนึ่ง คือ การรู้จักการคูณ การหาร ระบบหน่วยหกสิบ ได้แก่ 6, 60, 600, 3,600 ซึ่งปัจจุบันใช้กับการนับเวลาและการคำนวณวงกลม นอกจากนี้ยังได้คิดระบบชั่ง ตวง วัด ซึ่งเป็นรากฐานที่มาของการชั่งที่คิดน้ำหนักเป็นปอนด์ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนชาวคาลเดียนสามารถคำนวณวันเกิดสุริยปราคาและจันทรุปราคา รวมทั้งสามารถจัดแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7 วัน

อารยธรรมอียิปต์
อารยธรรมที่มีความยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลกที่มีถิ่นกำเนิดใน ดินแดนใกล้เคียงกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย คือ อารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมที่รู้จักกันอย่างกว้างขว้างและมีผลต่อพัฒนาการ ทางความคิดในหลายๆ ด้าน เนื่องจากมีมรดกทางสถาปัตยกรรม เช่น ปิรามิดและแนวความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาและปรัชญาอีกด้วย

อียิปต์โปราณตั้งอยู่ระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก โลกตะวันตกคือดินแดนที่อยู่รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนโลกตะวันออก ได้แก่ ดินแดนเมโสโปเตเมียและดินแดนในแถบลุ่มแม้น้ำสินธุ ทิศเหนือของอียิปต์จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทิศตะวันตกติดกับทะเลทรายซาฮารา ทะเลทรายลิเบีย และทะเลทรายนูเบียทางทิศตะวันออก ถัดไปคือ ทะเลแดง ทิศใต้จรดประเทศนูเบียหรือซูดานในปัจจุบัน อียิปต์เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีพื้นที่ตั้งอยู่บนสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ แม่น้ำไนล์มีลักษณะที่ต่างไปจากแม่น้ำอื่นๆ คือ ทอดตัวไหลจากภูเขาทางตอนใต้ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนเหนือ มีผลต่อการดำเนินชีวิตของชาวอียิปต์โบราณ มีนคือเส้นทางคมนาคมสายหลักและเป็นเสมือนเข็มทิศในการเดินทาง โดยใช้ร่วมกับทิศทางการขึ้นและตกของดาวอาทิตย์ ชาวอียิปต์แบ่งช่วงแม่น้ำไนล์เป็น 2 ช่วง คือ ต้นน้ำทางตอนใต้เรียกว่า “อียิปต์บน” (Upper Egypt) และปลายแม่น้ำในดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทางเหนือว่า “อียิปต์ล่าง” (Lower Egypt)


แผนที่อียิปต์โบราณ 

ประมาณ 3,150 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าเมเนส (Menes) หรือนาเมอร์ (Narmer) สามารถรวบรวมเมืองต่างๆ ทั้งในอียิปต์บนและอียิปต์ล่างเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน และตั้งเมืองเมมฟิส (Memphis) เป็นเมืองหลวง ประวัติศาสตร์ของอียิปต์ยุคราชวงศ์จึงเริ่มต้นขึ้น ประวัติศาสตร์ของอียิปต์อาจแบ่งออกได้เป็น 4 ยุค ดังนี้
  1. ยุคราชวงศ์เริ่มแรก อยู่ในช่วง 3100-2686 ปีก่อนคริสตกาล โดยเริ่มตั้งแต่พระเจ้าเมเนส รวบรวมเมืองต่างๆ ได้ทั้งในอียิปต์ล้างและอียิปต์บนเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน และเข้าสู่ราชวงศ์ที่ 1 และ 2 ยุคนี้เป็นยุคการสร้างอียิปต์ให้มีความเป็นปึกแผ่นเข็มแข็ง
     
  2. ยุคราชวงศ์เก่า อยู่ในช่วง 2686-2181 ก่อนคริสตกาล โดยเริ่มจากราชวงศ์ที่ 3 อียิปต์ประสบความวุ่นวายทางการเมือง มีการย้ายเมืองหลวงไปตามเมืองต่างๆ แต่หลังจากนั้นก็มีราชวงศ์อียิปต์ปกครองต่อมาอีก 2 ราชวงศ์ คือ ราชวงษ์ที่ 9 และ 10 ในยุคนี้อียิปต์มีฟาโรห์ปกครองเริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 3 ถึงราชวงศ์ที่ 6 ราชวงศ์ที่โดดเด่นในสมัยนี้คือ ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งมีการสร้างปิรามิดที่ยิ่งใหญ่มากมายโดยเฉพาะมหาปิรามิดของฟาโรห์คูฟูที่ เมืองเซห์ ซึ่งสร้างขึ้นประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล อียิปต์ในยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่ง และการสร้างสรรค์ความเจริญในยุคนี้ได้เป็นรากฐานและแบบแผนของความเจริญของ อียิปต์ในสมัยราชวงศ์ต่อๆ มา

  3. สฟิงซ์ (Sphinx)

    มหาปิรามิดแห่งกีซา (Giza) ของฟาโรห์คูฟู (Khufu)
     
  4. ยุคราชวงศ์กลาง อยู่ในช่วง 2,040-1,782 ปีก่อนคริสตกาล ระหว่างราชวงศ์ที่ 11-13 ฟาโรห์ที่มีบทบาทในการสร้างความรุ่งเรืองให้กับอียิปต์ในยุคนี้คือ อเมนเนมเฮตที่หนึ่ง (Amenemhet I) จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของอียิปต์ด้านเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม การสร้างคลองติดต่อไปถึงทะเลแดง การสร้างเขื่อนกั้นน้ำ วรรณคดีทั้งบทร้อยแก้วและร้อยกรอง ยุคนี้เป็นช่วงเดียวกันกับอารยธรรมบาบิโลนของพระเจ้าฮัมมูราบี แต่ความรุ่งเรืองของอียิปต์ก็หยุดชะงักลงจากการรุกรานของกลุ่มชนปศุสัตว์เร่ ร่อนคือ พวกฮิกโซส (Hyksos) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้ายึดครองซีเรีย ปาเลสไตน์ และเอเชียไมเนอร์ได้แล้ว เพราะพวกฮิกโซสมีความเก่งกาจในการรบกว่าชาวอียิปต์ ทำให้สามารถครอบครองอียิปต์ไว้ได้ตั้งแต่ 1,670-1,570 ปีก่อนคริสตกาล แต่เนื่องด้วยอียิปต์มีความเจริญที่เหนือกว่า พวกฮิกโซสจึงเป็นฝ่ายรับความเจริญไปจากอียิปต์ จึงทำให้อารยธรรมอียิปต์ไม่ขาดความต่อเนื่องแต่อย่างใด
     
  5. ยุคราชวงศ์ใหม่ อยู่ในช่วง 1,570-332 ก่อนคริสตกาล ระหว่างราชวงศ์ที่ 18-31 เมื่อ ชาวอียิปต์ได้ก่อกบฏและมีชัยเหนือชาวฮิกโซส จึงเริ่มราชวงศ์ที่ 18 และขยายอำนาจการปกครองไปยังดินแดนซีเรีย ปาเลสไตน์และฟินิเซีย เพาะมีอาณาเขตกว้างมากขึ้น สมัยนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “สมัยจักรพรรดิ” (Empire) แต่ในช่วงหลังๆ อำนาจการปกครองจากส่วนกลางค่อยลดลง เหล่าขุนนางที่ปกครองเมืองที่หางไกลก็เริ่มแข็งขืนต่ออำนาจมากขึ้นจนถึง ประมาณ 700 ปีก่อนคริสตกาล อียิปต์ก็พ่ายแพ้ต่อชาวอัสซีเรียน และเมื่ออาณาจักรเปอร์เซียได้เข้ายึดครองเมโสโปเตเมีย อียิปต์ก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของเปอร์เซีย และประมาณ 332 ปีก่อนคริสตกาล ดินแดนอารยธรรมทั้งเมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย และอียิปต์ก็ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
อารยธรรมของอียิปต์ได้สร้างมรกดมากมายหลายด้านแก่โลก การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆของชาวอียิปต์โบราณนอกจากการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด จากความโหดร้ายของธรรมชาติยังได้รับแรงผลักดันจากความคิดความเชื่อทางศาสนา และชีวิตหลังความตายอีกด้วย ชาวอียิปต์ยอมรับนับถือเทพเจ้ามากมาย ในแต่ละชุมชนมีวัดหรือวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา บูชาเทพเจ้าและดวงวิญญาณของฟาโรห์ ชาวอียิปต์นับถือเทพแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหมาใน จระเข้ ฮิปโปโปเตมัส แมว แมลงเต่าทอง และในเวลาต่อมาการบูชาสัตว์ได้เปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ และเป็นคนโดยสมบูรณ์ เช่นการนับถือดวงอาทิตย์ ซึ่งถือว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ และเทพเจ้าที่สำคัญที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ซึ่งชาวอียิปต์ให้ความนับถือ คือ โอซิริส (Osiris) ถือว่าเป็นเทพเจ้าที่มีความอมตะ เป็นประมุขแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย และเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และความตาย เทพเจ้าเร (Re) เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ผู้ประทานชีวิต

นอกจากนั้นแล้วยังนิยมบูชาพระเครื่องและตะกรุดเป็นเครื่องรางของ ขลัง จึงกล่าวได้ว่าความเชื่อเรื่องเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หยั่งรากลึกและเจริญเติบโตอยู่ในชีวิตและจิตวิญญาณของคน อียิปต์อย่างแท้จริง ความเชื่อที่โดดเด่นพิเศษของชาวอียิปต์อีกประการหนึ่ง คือ ความเชื่อในโลกหน้าหรือความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่สำคัญยิ่งในการก่อสร้างปิรามิดและการทำมัมมี่

เทพโอซิริส

มัมมี่

เทพที่มีรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์
ชาวอียิปต์เชื่อว่า วิญญาณเป็นอมตะ เรียกว่า Ka มาจากเทพสูงสุดเป็นคนสร้างวิญญาณให้มนุษย์ เพราะว่าวิญญาณเป็นอมตะจึงต้องสร้างปิรามิดเพื่อเก็บมัมมี่ เพื่อให้วิญญาณของผู้ตายกลับมาสู่ร่างเดิมได้ การสร้างปิรามิดในยุคแรกนั้น เป็นเนินหลุมฝังธรรมดา เรียกว่า “มาสตาบา” (Mastabas) แปลว่า ม้านั่ง ในภาษาอารบิก ภายในลึกลงไปใต้ดินจะมีห้องหลายห้องสำหรับไว้เก็บศพหรือมัมมี่และสิ่งของผู้ ตาย ถัดมาจึงทำเป็นปิรามิดขนาดใหญ่มีทั้งรูปแบบที่เป็นปิรามิดแบบขั้นบันได ต่อจากนั้นมีการสร้างปิรามิดที่มีด้านแต่ละด้านเรียบลาดเทลงมายังฐานสี่ เหลี่ยม เรียกว่า “ปิรามิดหลวง” (Royal Pyramids) เช่น ปิรามิด 3 องค์แห่งเมืองกีซา และระยะหลังนอกจากการสร้างปิรามิดแล้วยังมีการสร้างวิหารสำหรับบูชาเทพเจ้า เช่นในยุคราชวงศ์กลางมีการเน้นเรื่องเทพเจ้ามากขึ้น จึงมีการสร้างวิหารถวายเทพเจ้า ส่วนมัมมี่ของฟาโรห์ก็มีการเก็บไว้ในภูเขาหิน หรือที่เรียกว่า “หุบเขากษัตริย์” ต่อมาในยุคราชวงศ์ใหม่มีการสร้างวิหารขึ้นอีก 2 แห่ง คือ วิหารสำหรับทำพิธีพระศพของฟาโรห์วิหารถวายเทพเจ้า เช่นวิหารของพระนางฮัทเซพสุต (Queen Hatshepsut) และวิหารคาร์นัค (Karnak) 

             
          มาสตาบา                     ปิรามิดแบบขั้นบันได 


ปิรามิดแห่งกีซา 


วิหาร


ฟาโรห์ฮัทเซพสุต

วิหารแห่งคาร์นัค
การสร้างปีรามิดของชาวอียิปต์สะท้อนให้เห็นความเชื่อใน เรื่องชีวิตหลังความตายและความเป็นอมตะของวิญญาณ ถ้าตายแล้วจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปและยังมีความเกี่ยวข้องกับร่างเดิมอยู่ จึงมีแนวความคิดในการรักษาร่างเดิมไว้ โดยการทำมัมมี่ นอกจากความเชื่อในเทพเจ้าและการหมกมุ่นอยู่กับโลกหลังความตายแล้ว ยังปรากฏว่า มีพัฒนาการความคิดทางด้านปรัชญาแฝงอยู่ในความเชื่อของชาวอียิปต์ เช่นในหนังสือของผู้ตาย (The Book of Dead) ซึ่งเป็นหนังสือทางศาสนาและพิธีกรรมที่มีบทบาทต่อวิถีชีวิตของชาวอียิปต์มาก ที่สุด มีบทกวีที่ผู้ตายจะต้องกล่าวต่อเทพโอซิริส (Osiris) ว่า

“ข้าฯ ไม่ได้ทำให้ใครเจ็บปวด
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนหิวโหย
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้ใครหลั่งน้ำตา
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนตาย
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนต้องทุกข์ทรมาน” (ธีรยุทธ บุญมี. 2546: 31)

บทกวีนี้สะท้อนให้เห็นหลักศีลธรรมจริยธรรมของชาวอียิปต์รวมถึงหลัก เมตตาธรรมและอารมณ์ความรู้สึกด้านอื่นๆ ของมนุษย์และการรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองอีกด้วย

บทกวีที่สำคัญมากของพัฒนาการทางความคิดของอียิปต์อีกบทหนึ่ง ปรากฏอยู่ในจารึกของเทพธิดา Neith ซึ่งกล่าวว่า “ข้าคือสิ่งที่เป็นอยู่และเคยเป็น และจะเป็นไป ไม่มีใครได้เปิดม่านคลุมหน้าเพื่อยลโฉมข้าได้” (I am that which is, that which was and that will be. No one has lifted my veil.) (แหล่งเดิม. หน้า 32) จารึก Neith สะท้อนให้เห็นความสนใจปรัชญาที่ละเอียด และเป็นความจริงสูงสุดซึ่งไม่สามารถใช้คำพูดหรือคำบรรยายใดอธิบายได้ นั่นอาจหมายความว่า ความจริงเป็นสิ่งที่ข้ามพ้นขอบเขตของภาษาไป
อารยธรรมเปอร์เซีย
เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่าเปอร์เซีย ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาอินโด-ยุโรเปียน มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณทางเหนือของทะเลดำ ได้ก่อตัวและขยายอำนาจครอบครองอารยธรรมโบราณอื่นๆ และได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทเป็นศูนย์กลางของความเจริญรุ่งเรืองของโลกยุคโบราณ ภายใต้การปกครองของพระเจ้าไซรัสมหาราช พระองค์ได้ดำเนินนโยบายขยายดินแดนของเปอร์เซียออกไปอย่างกว้างขวาง มีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการเชื่อมโยงดินแดนทั้ง เอเชียตะวันออก เอเชียกลาง อินเดีย อียิปต์และดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนทำให้เปอร์เซียกลายเป็นจักรพรรดิใหญ่แห่งแรกหลังการล่มสลายของอาณาจักรยุค โบราณ

พระเจ้าไซรัสมหาราช กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย 


อาณาจักรเปอร์เซีย


ความเชื่อของชาวเปอร์เซียไม่ได้ต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ มากนัก คือมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า แต่อารยธรรมเปอร์เซียได้พัฒนาความคิดความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าขึ้นได้เป็น ระบบศาสนาขึ้นมา คือ “ศาสนาโซโรอัสเตอร์” (Zoroaster) เป็นศาสนาที่สอนให้นับถือบูชาเทพเจ้าสูงสุด ชื่อว่า “อหุระ มาสดา” (Ahura Mazda) เป็นเทพแห่งปัญญา รวมถึงเป็นเทพเจ้าผู้สร้าง ดังคาถาที่ปรากฏในคัมภีร์อเวสตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ว่า “อหุระ มาสดา ผู้ทรงสร้าง มีรัศมีรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด งามที่สุด มั่งคงที่สุด ฉลาดที่สุด เป็นวิญญาณที่มีมหากรุณาที่สุด”

ศาสนาโซโรอัสเตอร์นี้บางครั้งเรียกว่า “ลัทธิบูชาไฟ” ในวิหารจะมีพระคอยจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ให้ลุกช่วงอยู่ตลอดเวลา “เป็นการจำเป็นที่จะต้องระวังรักษาอาคารบูชาไฟไว้ให้ดีและคอยระวังมิให้ไฟ ดับได้ สิ่งที่ไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์อย่าเอาใส่เข้าไปในไฟ และจะต้องให้สตรีมีระดูอยู่ห่างจากที่บูชาไฟ 3 ก้าว” (แหล่งเดิม, อ้างแล้ว) ชาวเปอร์เซียได้รับอิทธิจากคำสอนของศาสนาโวโรอัสเอตร์ว่า โลกประกอบด้วยสิ่งสองด้าน คือ ดีและชั่ว เทพเจ้าอหุระ มาสดา คือ ตัวแทนของความดี และเทพอาห์ริมัน (Ahriman) คือตัวแทนของความชั่วร้าย ต่อสู้กันในที่สุดฝ่ายดีจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือฝ่ายชั่ว ชะตากรรมของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับการเลือกว่าจะทำดีหรือชั่ว แนวความคิดนี้มีอิทธิพลต่อศาสนายูดายหรือยิวและคริสต์ศาสนา รวมทั้งความเชื่อในเรื่องเทวดา นางฟ้า วันสิ้นโลก การตัดสิ้นครั้งสุดท้ายและการไปสู่สวรรค์และนรกในเวลาต่อมา และประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 มุสลิมได้แผ่ขยายอำนาจเข้ามาครอบครองดินแดนเปอร์เซีย อาณาจักรแห่งนี้จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของศาสนาอิสลาม และแนวความคิดจากศาสนาโซโรอัสเตอร์ก็มีผลต่อการพัฒนาแนวความคิดและหลักคำสอน ของศาสนาอิสลาม 


เทพเจ้าอหุระ

มาสดา


กษัตริย์ต่อสู่กับอาห์ริมันหรือวิญญาณฝ่ายร้าย 

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุและอินเดีย
อินเดียเป็นอารยธรรมของคนในแถบเอเชียใต้และมีอิทธิพลต่อ อารยธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอารยธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก อารยธรรมอินเดียโบราณหรืออารยธรรมลุ่มแม้น้ำสินธุ จัดเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ดินแดนบริเวณนี้ประมาณ 3,000-2,500 ปีก่อนคริสตกาล จัดเป็นแหล่งอารยธรรมเมืองแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ จากการขุดค้นพบ “เมืองโมเฮนโจดาโร (Mohenjo-daro) และเมืองฮารัปปา (Harappa) ซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งนี้ พบว่ามีความเจริญอย่างยิ่งในด้านการวางผังเมือง เพราะมีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบระเบียบ มีระบบท่อระบายน้ำ มีสระขนาดใหญ่ภายใต้ตึก 3 ชั้น ยุ้งฉางสำหรับเก็บผลผลิตทางการเกษตร และมีหลักฐานการติดต่อค้าขายกับดินแดนเมโสโปเตเมียอีกด้วย 


เมืองโมเฮนโจดาโร
ผู้คนที่มีบทบาทในการพัฒนาและสร้างสรรค์อารยธรรมในแถบนี้มี ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุตั้งแต่ปลายยุคหินใหม่ เรียกว่า “ดราวิเดียน” มีรูปร่างเล็ก ผิวดำ จมูกแบน ส่วนอีกลุ่มหนึ่ง คือ “อินโด-อารยัน” มีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกโด่ง ผิวขาว มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณภาคกลางของทวีปเอเซียรอบๆ ทะเลสาบแคสเปียน ต่อมาได้อพยพจากถิ่นเดิมไปยังดินแดนอื่นๆ กลุ่มหนึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานบริเวณคาบสมุทรกรีซและในแหลมอิตาลี กลุ่มนี้เรียกว่า “อินโดยูโรเปียน” กลุ่มที่สองไปตั้งถิ่นฐานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บริเวณอัฟกานิสถานและขยาย สู่ทิศตะวันตกเข้าไปยังเปอร์เซีย กลุ่มนี้เรียกว่า “เปอร์เซีย” และกลุ่มที่สามขยายมาทางตะวันออกเข้ามาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย กลุ่มนี้เรียกว่า “อินโดอารยัน” และได้พัฒนาอารยธรรม ต่อมาดินแดนแห่งนี้ได้กลายเป็นบ่อเกิดของลัทธิความเชื่อ ศาสนา และระบบปรัชญามากมาย

พัฒนาการทางความคิดที่สำคัญในอารยธรรมอินเดียเริ่มจากการนับถือ เทพเจ้าหลายองค์โดยการสวดสรรเสริญและอ้อนวอนเทพเจ้า ในช่วงแรกเป็นการสืบต่อกับด้วยการท่องจำแบบปากเปล่าในกลุ่มของผู้ทำพิธีกรรม เท่านั้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นคัมภีร์ประกอบด้วยสามส่วนคือ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท รวมเรียกว่า “ไตรเวท” ภายหลังได้แต่งคัมภีร์ชื่ออถรรพเวทเพิ่มขึ้นรวมเป็นสี่ส่วน แต่ก็ยังเรียกว่าคัมภีร์พระเวทเหมือนเดิม เรียกยุคนี้ว่า “ยุคพระเวท” พัฒนาการความคิดของอินเดียในยุคถัดมามีความหลากหลายทางความคิด ในส่วนที่พัฒนาต่อจากพระเวท คือ มหากาพย์ที่สำคัญสอง เรื่อง คือ มหาภารตะและรามายณะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนากระแสความคิดอื่นที่แตกต่างไปจากความคิดแบบพระ เวท นั่นคือ กระแสความคิดจากพุทธศาสนาและจากศาสนาเชน

พัฒนาการความคิดจากคัมภีร์พระเวทนั้นมีหลายระดับ คือ เริ่มแรกเป็นความคิดความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าแบบ “พหุเทวนิยม” (Polytheism) นั่นคือการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ ต่อมาได้พัฒนามาเป็นการยกย่องและให้การนับถือเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว เรียกว่า “เอกเทวนิยม” (Monotheism) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีการนับถือเทพองค์อื่นๆ ไปด้วยแต่ไม่ได้ยกย่องเป็นเทพสูงสุด ในช่วงหลังได้พัฒนาแนวความคิดให้เป็นปรัชญามากยิ่งขึ้น จึงเกิดคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการขั้นสุดท้ายของคัมภีร์พระเวทในนามของศาสนาฮินดู

แนวความคิดในปรัชญาอุปนิษัทได้พัฒนามาสู่ “เอกนิยม” อย่างสัมบูรณ์ นั่นคือมีความเชื่อในความจริงสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว มีลักษณะเป็นอมตะ เที่ยงแท้แน่นอน และเป็นจุดหมายของมนุษย์ทุกคน เรียกว่า “พรหมัน” หรือ “ปรมาตมัน” แต่ความจริงที่ถูกเสนอโดยปรัชญาอุปนิษัทก็ถูกแย้งโดยพุทธศาสนา และศาสนาเชน ซึ่งทั้งสองแนวความคิดนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดในปรัชญาอุปนิษัท โดยศาสนาเชนได้เสนอความคิดเรื่องความจริงสูงสุดนั้นคือ การเข้าถึง “ไกรวัลย์” หรือโมกษะ ด้วยการชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์ด้วยการทรมานตนเองเท่านั้น
    
ศาสดามหาวีระ ผู้ก่อตั้งศาสนาเชน และสาวกที่ยึดหลักการทรมานตนเอง 

ส่วนพุทธศาสนานั้นมีความคิดแย้งกับทั้งสองกระแสความคิด คือ พระเวทและศาสนาเชน โดยเสนอว่า การที่มนุษย์จะเข้าถึงความจริงสูงสุดได้นั้นจะต้องขจัดกิเลสด้วยการชำระจิต ใจให้บริสุทธิ์ไม่ใช่ด้วยการอ้อนวอนเทพเจ้าหรือการทรมานร่างกายแต่อย่างใด พุทธศาสนาจึงเสนอความคิดเรื่อง “ไตรลักษณ์” คือ หลักอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา และหลักการปฏิบัติแบบทางสายกลาง เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ การทำความเพียรชอบ การตั้งสติชอบ และการตั้งใจชอบ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มรรค 8” ประการ

ความคิดจากอารยธรรมอินเดียได้แพร่กระจายได้ตามอาณาจักรต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความคิดจากศาสนาฮินดูได้แพร่เข้าสู่อาณาจักรทางเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้จนก่อให้เกิดวิหารเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ก่อให้เกิดสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และวรรณคดีทางศาสนามากมาย ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาได้รับการยอมรับมากขึ้นและได้แพร่ขยายเข้ามาสู่ทั้ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะการแพร่ขยายไปตามเส้นทางสายไหมจากอินเดียสู่จีนและเปอร์เซีย แนวความคิดทางพุทธศาสนาก็เข้ามาเจริญแทนที่กระแสความคิดเดิม

อารยธรรมจีน
อารยธรรมจีนยุคโบราณเริ่มก่อตัวที่บริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นชุมชนเกษตรกรรม บริเวณนี้พบหมู่บ้านเกษตรกรรมแห่งแรกเรียกว่า Ban Po ใกล้เมืองซีอาน เพราะความอุดมสมบูรณ์จากพื้นดินร่วนซุย ที่สะสมจากการพัดพาของลมและกระแสน้ำจนเป็นที่ราบลุ่มแม้น้ำเหลือง มีการทำปสุสัตว์ ทำเครื่องปั้นดินเผา เลี้ยงตัวหม่อนเพื่อนำมาทำผ้าไหม ความเจริญของจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏอย่างเด่นชัดในยุคหินใหม่ตามมณฑล ต่างๆ ของจีนตั้งแต่ทางตอนเหนือจนถึงทางใต้จากแหล่งวัฒนาธรรม 2 แห่งคือ วัฒนธรรมหยางเฉา (Yang-Shao) และลุงซาน (Lung-Shan) วัฒนธรรมหยางเฉาโดดเด่นในเรื่องการทำเครื่องปั้นดินเผาที่มีการเขียนลายลาย บนผิวภาชนะ คือ สีแดง ขาว ส่วนวัฒนธรรมลุงซานทำเครื่องปั้นดินเผาสีดำเรียบไม่มีการระบายสี ทั้งสองวัฒนธรรมนี้ถือว่าเป็นรากฐานของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโหในเวลาต่อมา

อารยธรรมจีนหลังอารยธรรมยุคโบราณ และช่วงก่อนเส้นทางสายไหม อาจเริ่มต้นจากสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก โจรตะวันออก และราชวงศ์จิ๋น ประมาณ 1,000 ปี ก่อนคริสตกาล ช่วงสมัยราชวงศ์โจว กษัตริย์ได้ยกย่องฐานะของตนเองขึ้นเป็น “โอรสสวรรค์” โดยมีความเชื่อว่า “เทียน” เป็นเทพเจ้าสูงสุด ราชวงศ์โจวช่วงต้น ซึ่งเรียกว่า “โจวตะวันตก” ครองอำนาจการปกครองจนถึงปี 770 ก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นมีกลุ่มอำนาจใหม่เกิดขึ้น เรียกว่า “โจวตะวันออก” เข้าปกครองต่อมาจนถึงประมาณ 403 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงปลายราชวงศ์โจว เกิดความวุ่นวายยุ่งเหยิงทางการเมืองเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ระหว่างรัฐต่างๆ จึงเรียกยุคนี้ว่า “ยุคสงครามระหว่างรัฐ” ประมาณ 403-221 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่บริเวณใกล้เมืองซีอานในปัจจุบัน กระทั่ง 256 ปีก่อนคริสตกาลชิวั่งตี่แห่งแคว้นจิ๋นได้ปราบปรามรัฐต่างๆ แล้วรวบรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยใช้การปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ ศูนย์กลาง และสถาปนาตนเองเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ ต่อมาได้สร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นและจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก 


แม้ว่าช่วงปลายของราชวงศ์โจวเป็นยุคที่จีนมีความวุ่นวายทาง การเมืองระหว่างรัฐ แต่เป็นยุคที่มีการพัฒนาทางความคิดด้านศาสนาและปรัชญาอย่างโดดเด่น จนได้รับการขนานนามว่า “ยุคทองของนักปรัชญาจีน” หรือยุคปรัชญาร้อยสำนัก เช่น เหล่าจื้อ ผู้ก่อตั้งปรัชญาสำนักเต๋า ขงจื้อ ศาสดาของศาสนาหรือลัทธิขงจื้อ เม่งจื้อ และม่อจื้อ เป็นต้น แต่นักปรัชญาที่โดดเด่นและมีอิทธิพลต่อชาวจีนมาที่สุดคือ เหล่าจื้อและขงจื้อ

พัฒนาการของความคิดจีนก่อนยุคนักปราชญ์นั้น มีลักษณะเป้นควาเชื่อแบบวิญญาณนิยม (Animism) ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ มาก เช่น การนับถือเทพเจ้าน้ำ เทพเจ้าแห่งลม แต่เทพเจ้าสูงสุดที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือคือ “เทียน” หมายถึง ฟ้า หรือสวรรค์ จนเข้าสู่ยุคนักปราชญ์ ความคิดจึงได้เริ่มพัฒนาอย่าเป็นระบบ

อารยธรรมกรีก
กรีกเป็นคำที่ชาวโรมันเรียกชาวกรีก หรือกรีซในปัจจุบัน แต่ชาวกรีกเองเรียกตนเองว่า “เฮลลีนส์” และเรียกความเจริญอารยธรรมที่ตนสร้างสรรค์ว่า “เฮเลนนิค” (Hellenic) ประเทศต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันออกคือ อินเดียและจีนส่วนต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกก็คือกรีกชาวตะวันตกทุกชาติ ไม่ว่าสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ออสเตรีย อังกฤษ อิตาลี เยอรมนี ฯลฯ ใช้อารยธรรมที่ล้วนแล้วแต่มีรากดั้งเดิมมาจากกรีกทั้งนั้น

กรีกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณรอบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ติดต่อกับอารยธรรมยุคเก่าซึ่งมีอำนาจในการปกครองดินแดนแถบนี้ 2 แห่งของโลก คือ อียิปต์และตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย และที่สำคัญอีกอย่างคือ ดินแดนรอบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นแหล่งเชื่อม 3 ทวีป คือ อาฟริกา เอเซียและยุโรป และเป็นชุมทางการเคลื่อนตัวของมนุษย์สมัยโบราณในยุคหินเก่าและหินใหม่ เนื่องจากกรีกเป็นเมืองค้าขายจึงมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความคิดอันหลากหลาย จากพ่อค้าจากต่างถิ่นที่แวะเข้ามาทำการค้าขาย

เมืองส่วนใหญ่ของกรีกเป็นเมืองค้าขายมีที่ราบเล็กๆ ในหุบเขาที่จะผลิตอาหารได้จำนวนจำกัด กรีกจึงมีแนวโน้มจัดตั้งองค์กรทางการเมืองที่ไม่รวมศูนย์ การเป็นเมืองค้าขายเปิดโอกาสให้ได้รับการถ่ายทอดความคิดจากพ่อค้าที่แวะเข้า มาจากการเดินทางออกไปยังอียิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย เป็นต้น ทำให้กรีกสามารถตั้งคำถาม วิเคราะห์ความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมได้มาก จากการที่กรีกปกครองเป็นนครรัฐ (Polis) จึงทำให้กรีกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ ก่อนหน้านั้นหรือในยุคเดียวกัน คือ ไม่มีระบบความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดหรือสมบูรณ์ตายตัว จากจุดนี้จึงเป็นสาเหตุให้กรีกกลายเป็นนักวิเคราะห์ และนักเหตุผลนิยมได้ดีกว่าอารยธรรมอื่นที่ผ่านๆ มา และในที่สุดกรีกก็เป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกๆ ที่สร้างระบบคิดแบบเปิด คือ ระบบปรัชญาที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเน้นการถกเถียงระหว่างปัญญาชนที่หลาย หลายขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ส่วนที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในกรีก อินเดีย และจีน

ชาวกรีกให้การเทพเจ้าหลายองค์ เทพส่วนมากมีความเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ เช่น Zeus ควบคุมท้องฟ้า พายุและฝน เทพ Poseidon ควบคุมทะเล เทพ Aphrodite เป็นเทพแห่งความรัก และเทพ เป็นต้น แต่การนับถือเทพของชาวกรีกมีความแตกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ คือ แต่ละบุคคลสามารถบนบานต่อเทพได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพระนักบวช และเทพในอารยธรรมกรีกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตลอดเวลา
เทพ Zeus 

ส่วนในกรีกโบราณ ความคิดทางศาสนามีส่วนช่วยจรรโลงอารยธรรมกรีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ซึ่งปรากฏออกมาในรูปของการสร้างโบสถ์วิหารและปติมากรรมเพื่อถวายความเคารพ และบูชา สรรเสริญเทพเจ้า วิหารของเทพเจ้ากรีกล้วนก่อสร้างด้วยหินอ่อน และมีแบบของหัวเสา วิหารที่มีชื่อเสียงได้แก่ วิหารพาเธนอน (Pathenon) ในนครเอเธนส์ ซึ่งเป็นวิหารของเทพเจ้าอธีนาผู้คุ้มครองนครเอเธนส์ วิหารเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างแสดงแสดงฝีมือและความเป็นอัจฉริยะของก รีกโบราณด้านสถาปัตยกรรม

ความคิดเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีกโบราณสื่อออกมาในรูปลักษณะแบบ มนุษย์และคุณลักษณะบางประการของมนุษย์ เช่น ยังมีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง มีการทะเลาะวิวาท อิจริษยา กันและกัน แต่มีความแตกต่างจากมนุษย์ตรงที่มีอาหารทิพย์ และมีความเป็นอมตะ แต่ละองค์ล้วนมีอานุภาพ และได้รับการกำหนดให้คุ้มครองธรรมชาติที่มีความสำคัญ เช่น ท้องทะเล ได้แก่ เทพเจ้าโพไวดอน (Poseidon) พื้นแผ่นดินได้แก่ เทพเจ้าซีรีส (Ceres) ความงาม ความรัก ได้แก่ เทพเจ้าอโพรไดท์ (Aphrodite) หรือที่ชาวโรมัน เรียกว่า วีนัส (Venus) ความฉลาด ได้แก่ เทพเจ้าอธีนา (Athena) แสงสว่างและการทำนาย ได้แก่ เทพเจ้าอพอลโล (Apollo) เป็นต้น

ส่วนเรื่องของความตายนั้น กรีกโบราณมีความคิดที่แตกต่างไปจากอียิปต์ คือ ชาวกรีกจะไม่สนใจความเป็นไปภายหลังความตาย ไม่สนใจต่อร่างกายที่ และเมื่อคนตายลงก็จะใช้วิธีเผาศพ และมีความคิดว่า เงาหรือผีจะอยู่ชั่วระยะหนึ่งหลังจากที่ตายไปทุกคนจะไปยังอาณาจักรแห่งความ ตาย ซึ่งอยู่ภายใต้ความควบคุมของเทพเจ้าใต้บาดาล คือ เฮเดส (Hades) แต่อาณาจักรแห่งความตายนี้มิใช่นรก หรือสวรรค์ ไม่มีการรับรางวัลแห่งความดี หรือการถูกลงโทษจากการกระทำผิด แต่จะอยู่ในลักษณะเดียวกันเหมือนกับการมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์

กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวกรีกก็คือ การรื่นเริงถวายเทพเจ้าที่ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับศาสนปฏิบัติ ซึ่งแสดงออกโดยที่นครรัฐทุกแห่งจะมีงานรื่นเริงประจำนครรัฐของตนและมีการ แข่งกีฬา การแข่งขันกีฬาถวายเทพเจ้าที่สำคัญที่สุด คือ ที่โอลิมเบีย (Olympia) ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มในแคว้นเอลิส (Elis) ได้เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ 776 ปีก่อนคริสตกาล ณที่นี้มีวิหารของเทพเจ้าสูงสุด คือเทพเจ้าซีอุส (Zeus) และการแข่งขันกีฬาที่โอลิมเปียนี้เรียกว่า กีฬาโอลิมปิก (Olympic Game)

กิจกรรมต่างๆ ของชาวกรีกโบราณที่กล่าวมาแล้วนี้ นับเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความสอดคล้องผสมผสานระหว่างความคิดทางศาสนากับ อารยธรรมของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนและมีความหมายที่ซ้อนเร้นอยู่ตาม สถาปัตยกรรมต่างๆ

ส่วนในสมัยโรมัน ปรากกว่าระยะแรกๆ ชาวโรมันมีชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ มีการเลี้ยงสัตว์และทำการเพาะปลูก พวกเขานับถือผีวิญญาณ เชื่อว่ามีวิญญาณในทุกสิ่ง ไม่ว่าต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์ในทุงหญ้า ท้องนา วิญญาณเหล่านี้อาจช่วยเหลือ หรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่อวิญญาณเหล่านี้ จึงเป็นหน้าที่ของทางศาสนาที่จะหาวิธีปฏิบัติให้วิญญาณทั้งหลายนั้นมาเอื้อ ประโยชน์ต่อมนุษย์

ความคิดเรื่องวิญญาณที่สำคัญของชาวโรมันในระยะแรกได้แก่ เวสตา (Vesta) ซึ่งดูแลเตาไฟ แลรีส (Lares) ดูแลบ้านและขอบเขตที่นาของครอบครัว พิเนตีส (Penates) ดูแลที่เก็บเสบียงอาหาร และยังมีวิญญาณประจำตัวมนุษย์ได้แก่ จีเนียส (Genius) ซึ่งบำบัดรักษาครอบครัวโดยผ่านหัวหน้าครอบครัว จึงถือว่า จีเนียสเป็นวิญญาณประจำตัวผู้ชาย วิญญาณเหล่านี้จะต้องได้รับการกราบไหว้อย่างเหมาะสม

ในยุคโบราณ ตะวันตกถือว่ากรีกเป็นบ่อเกิดของความคิดแบบต่างๆ และถือว่าเป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมทั้งทางด้านความคิด การเมือง สถาปัตยกรรม เป็นต้นมีความก้าวหน้าแห่งหนึ่งในยุคโบราณ แต่ในยุคนี้ความคิดที่เด็นชัดและมีอิทธิพลต่อวิธีการคิดและการดำเนินชีวิต ของคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในตะวันตก ก็คือความคิดทางปรัชญา ซึ่งมีนักคิดที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น 3 ท่าน ก็คือ อริสโตเติล พลาโต้ และโสเครตีส แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วนักคิดที่ถือว่ามีแนวคิดทางปรัชญาท่านแรกของกรี กโบราณก็คือ ธาเลส ซึ่งเป็นผู้ให้มุมมองเกี่ยวกับโลก จักรวาล และมนุษย์ที่แตกต่างออกไปจากมุมมองแบบยุคก่อนประวัติศาสตร์ และถือว่าเป็นผู้จุดประกายให้มีนักคิดท่านอื่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย

ประเด็นทางความคิดหลักๆ
ประเด็นทางความคิดหลักๆ ในยุคนี้ คือ
-ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของเทพเจ้ามากมาย
-ความคิดเกี่ยวกับรัฐ กฎหมายและระบบของรัฐ
-ความคิดเกี่ยวกับเรื่องความดีงามของอาริสโตเติล เป็นต้น

ในยุคนี้สิ่งที่แตกต่างออกไปจากวิธีคิดแบบเดิมก็คือ การโต้แย้งประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับชีวิต ความจริง ธรรมชาติ โลก เป็นต้นด้วยเหตุผล แทนความเชื่อทางศาสนา จนเกิดทฤษฎีทางปรัชญาขึ้นอยากมากมาย แต่มีแนวความคิดหลักๆ ก็คือ
  1. จิตนิยม ที่ถือว่าจิตหรือสภาวะที่เป็นนามธรรมเป็นความจริงสูงสุดหรือเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง
  2. สสารนิยม ซึ่งเชื่อว่า ความจริงเป็นสสาร หรือในยุคนั้นเรียกว่า อะตอม เป็นความจริงสูงสุด และเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งด้วย ซึ่งแต่ละความความคิดก็มีนักคิดหลายท่านเป็นฝ่ายสนับสนุน และก็มีหลายท่านเห็นแย้ง ความคิดแบบกรีกโบราณถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมในยุคต่อๆมา
ความคิดตะวันตกยุคกลาง
ยุคกลางเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยุคคริสเตียน” ในยุคนี้ความคิดทางปรัชญาแบบกรีกโดยเฉพาะของนักคิดทั้งสามท่านก็ถูกปรับ ประยุกต์ให้มารับใช้หลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ในยุคกลางอิทธิพลของศาสนาคริสต์แผ่ควบคลุมไปทั่วยุโรป จึงทำให้วิธีคิดและระบบความคิดต่างๆ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของศาสนจักร ทำให้คนต้องคิดอยู่ภายในกรอบที่ถูกกำหนดมาไว้แล้วโดยศาสนจักร ถ้าใครคิดต่างออกไป ก็ถือว่ามีความผิดต้องถูกลงโทษถึงกับประหารชีวิตก็มี เพราะฉะนั้นในยุคนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยุคมืดทางปัญญา (Dark Age)

ความคิดตะวันตกยุคใหม่
แต่ต่อมาในยุคสมัยใหม่ ซึ่งนำโดยนักคิดหลายๆ ท่าน เช่น ฟรานซิส เบคอน เรเน่ เดกราตส์ เป็นต้นได้เสนอแนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นมาทำให้ความคิดในยุคกลางมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของประชาลดลงไปมา เพราะในยุคนี้มีการให้หลักการทางวิทยาศาสตร์ และความเป็นเหตุเป็นผลในการต่อสู่กับวิธีคิดแบบเดิมๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ยุโรปส่วนมากสลัดตนเองออกมาจากอำนาจของศาสนจักร และเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ (Modern Thought) และในยุคนี้ถือว่าเป็นยุคเริ่มต้นอย่างเป็นระบบของความคิดทางวิทยาศาสตร์ จนมีนักคือบางท่านถือว่า มนุษย์มิใช่สิ่งที่สร้างขึ้นจากพระเจ้าตามคติความสอนขอศาสนา แต่มนุษย์คือเครื่องจักร ซึ่งเป็นที่มาของแนวความคิดแบบจักรกลนิยม แต่ก็ยังจักอยู่ในประเภทสสารนิยมหรือวัตถุนิยม

วิทยาศาสตร์กับอภิปรัชญาสมัยใหม่
คำว่า “วิทยาศาสตร์” (science) ในพจนานุกรมได้ให้ความหมายไว้ว่า “ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วจัดเข้าเป็น ระเบียน, วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ” นั่นหมายความว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่มีระเบียบวิธีในการศึกษาอย่างเป็น ระบบ โดยอาศัยขบวนการที่มีประสบการณ์เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ซึ่งอิทธิพลของการเจริญเติบโตของวิทยาศาสตร์นั้นก็มีส่วนอย่างยิ่งในการ พัฒนาความคิดของมนุษย์ในยุคต่างๆ ถึงแม้บางยุคสมัยความคิดทางวิทยาศาสตร์อาจจะถูกครอบงำโดยความคิดทางศาสนาบาง แต่ความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่สายเกินไปที่ จะรอให้ความจริงปรากฏออกมาในยุคต่อๆ มา

เมื่อมนุษย์ได้พัฒนาความเฉลียวลาดและสมองขึ้นจากสภาพที่เป็นสัตว์ ชนิดหนึ่งขึ้นได้แล้ว มนุษย์ก็พยายามเรียนรู้ พยายามทำความเข้าใจในเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของโลกและจักรวาล เป็นต้น ในบรรดากลุ่มชนของโลกสมัยโบราณ กลุ่มชนที่มีความสนใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องของวิทยาศาสตร์ ก็คือ ชาวกรีก โดยกรีกได้รับแรงกระตุ้นจากความเจริญทาวิทยาศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ซึ่งได้ริเริ่มทางคณิตศาสตร์ การทำปฏิทิน การสร้างเขื่อน การระบายน้ำและการสร้างสุสาน แต่กรีกมาได้รับยกย่องในฐานะเป็นผู้ใฝ่หาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติและ ปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งที่ไม่มีเครื่องมือในการตรวจสอบหรือทดลองแต่อย่างใด ชาวกรีกสามารถใจถึงสาเหตุของการท่วมท้นฝั่งของแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ว่า เป็นเพราะมีน้ำไหลบ่ามาจากเอธิโอเปีย โดยที่ชาวอียิปต์ยังเขลาในเรื่องนี้เพราะเชื่อว่าเป็นการดลบันดาลของเทพเจ้า ชาวกรีกยังเข้าใจของการเกิดจันทรคราส และยังตั้งสมมติฐานว่าแสงของดวงจันทร์เป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์

เมื่อเวลาผ่านไปคนสมัยปัจจุบันจึงพบว่า ชาวกรีกโบราณนั้นถือว่าเป็นพวกที่มีความรู้ก้าวหน้ามากที่สุกแห่งหนึ่ง เช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมได้เริ่มต้นมาจากดิโมคริตุส (Democritus) ซึ่งมีชีวิตระหว่าง 460-370 ปีก่อนคริสตกาล และจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชื่อต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีต้นกำเนิดมาจากภาษากรีก เช่น อะตอม (atom) คราส (eclipse) ถ้วยยูเรกา (Eureka) เป็นต้น

ความรุ่งเรืองสมัยแรกของกรีกโบราณที่เรียกว่า สมัยเฮเลนนิค (Hellenic) นับเป็นช่วงของการปูพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ในระยะนี้พวกกรีกพยายามตั้งสมมติฐาน พยายามหาคำตอบตามแนววิทยาศาสตร์ เช่น การตั้งสมมติฐานว่า สิ่งสำคัญที่เป็นต้นเหตุหรือปฐมธาตุของโลกและสรรพสิ่งคืออะไร ซึ่งมีนักคิดหลายๆ ท่านได้เสนอทฤษฎีขึ้น อาทิ ธาเลส (Thales) ได้เสนอว่า ปฐมธาตุคือน้ำ อะแนกซิมีนิส (Anaximenes) เสนอว่า เป็นอากาศ เป็นต้น ความคิดที่รุดหน้าไปมากในยุคนี้ก็คือ ความคิดด้านคณิตศาสตร์ ชีววิทยา และการแพทย์

นักคิดอีกท่านหนึ่งที่ตั้งทฤษฎีเรขาคณิตขึ้นมาก็คือ ไฟธากอรัส (Pythagoras) และเขายังเป็นผู้ที่ใช้คำว่า คอสมอส (cosmos) หรือจักรวาล และพูดถึงความสอดคล้องและความเป็นระเบียบที่งดงามของจักรวาล ซึ่งต่อมากลุ่มลูกศิษย์ของไฟธากอรัสได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับตัวเลขและจัดระบบ ตัวเลข โดยกำหนดให้มีเลขคี่ เลขคู่และเลขที่ไม่มีตัวหารลงตัว

นักคิดรุ่นแรกที่ให้ความสนใจเรื่องชีววิทยาก็คือ อะแนกซีมานเดอร์ (Anaximander) โดยเสนอทฤษฎีพัฒนาการของอินทรีย์ ซึ่งมีรากฐานจากหลักของการให้ชีวิตอยู่รอดโดยการปรับตัวให้เข้ากับภาวะแวด ล้อม ชีวิตเริ่มแรกปรากฏขึ้นในทะเล ซึ่งปกคลุมส่วนใหญ่ของโลก ต่อมาเมื่อทะเลเหือดแห้งลง สิ่งมีชีวิตก็ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่กลายมาเป็นสัตว์บกและปรับตัวต่อ มา จนท้ายที่สุดมาเป็นมนุษย์

ส่วนนักคิดที่เป็นผู้วางรากฐานทางชีววิทยาที่แท้จริงก็คือ อริสโตเติล (Aristotle) ซึ่งถือว่าเป็นนักปราชญ์ที่ให้กำเนิดแนวความคิดหลายๆ ด้าน เช่น ปรัชญา การเมือง เศรษฐศาสตร์ ตรรกวิทยา วรรณคดี ดาราศาสตร์ และชีววิทยา เป็นต้น ในส่วนของชีววิทยา ซึ่งอริสโตเติลได้ศึกษาโครงสร้าง อุปนิสัย และการเจริญเติบโตของสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะแมลงหลายชนิดและปลาบางชนิด เช่น ปลาไหล ปลาฉลาม เป็นต้น

ในส่วนของการแพทย์นั้นมีนักคิดที่เป็นผู้บุกเบิกก็คือ เอมปิโดคลีส (Empedocles) เขาพบว่า เลือดไหลไปสู่หัวใจและกลับออกมาจากหัวใจ รูตามผิวหนังมีส่วนช่วยถ่ายเทอากาศเวลาหายใจ ส่วนอัลซ์มีออน (Alcmeon) เริ่มผ่าตัดสัตว์ และพบเส้นประสาทของสายตาและพบว่า สมองเป็นศูนย์กลางของระบบประสาท แต่นักคิดที่เป็นผู้วางรากฐานที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ คือ ฮิปโปเครตีส โดยได้วางกฎการวินิจฉัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยการสังเกตอย่างระมัดระวังโดยใช้วิธีวิเคราะห์ การรวบรวมหลักฐานอย่างอดทน และการเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านั้น ฮิปโปเครตีสเสนอหลักว่า โรคทุกชนิดมีสาเหตุจากธรรมชาติ หากไม่มีสาเหตุจากธรรมชาติจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ นับเป็นการล้มเลิกการอธิบายสมุฐานของโรคว่า เป็นเพราะสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ นอกจากนั้น ฮิปโปเครติส ยังได้ศึกษาเปรียบเทียบอาการของโรคชนิดต่างๆ และค้นพบลักษณะอาการที่ขึ้นถึงขีดสุดของโรคเหล่านั้น และเขาถือว่า วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการกำหนดอาหารให้ผู้ป่วยและการให้ผู้ป่วยพักผ่อน

ความรุ่งเรืองด้านวิทยาศาสตร์ของกรีกถึงจุดสูงสุดในสมัยหลังจากพระ เจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ซึ่งเรียกว่า สมัยเฮเลนิสติค ประมาณ 300-100 ปี ก่อนคริสตกาล สาขาของวิทยาศาสตร์ที่รุดหน้ามากในยุคนี้ก็คือ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การแพทย์ และฟิสิกส์

นักดาราศาสตร์คนสำคัญอีกคนหนึ่งก็คือ อริสตาร์คัส (Aristarchus) โดยเสนอวา โลกและดวงดาวอื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทฤษฎีนี้ไม่มีผู้ใดยอมรับ เพราะขัดแย้งกับสิ่งที่มองเห็นกันอยู่ และขัดกับคำสอนของปราชญ์ท่านอื่น เช่น อริสโตเติล และไม่สอดคล้องกับความเชื่อของศาสนายิวที่เผยแพร่อยู่แล้ว ในคัมภีร์ของศาสายิวชื่อว่า โจซัว (ผู้นำชาวยิวต่อจากโมเสส) ได้ออกคำสั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดหมุน ดังนั้น ทฤษฎีของอริสตาร์คัส จึงต้องการเวลาอีกกว่า 1000 ปี ต่อมาจึงพิสูจน์ได้ว่าเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง

นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ยูคลิค งานของเขาเป็นการรวมสิ่งที่คนอื่นค้นพบไว้แล้ว ปรากฏว่าทฤษฎีเรขาคณิตที่ศึกษากันจนปัจจุบัน เป็นทฤษฎีที่ยูคลิคเป็นผู้รวบรวมไว้

ส่วนนักภูมิศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่มีความสนใจในเรื่องของดาราศาสตร์ และได้พยายามคำนวณเส้นรอบวงของโลกและได้ตัวเลขจำนวนหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าน้อยไปจากความเป็นจริง 200 กวาไมล์เท่านั้น ก็คือ อีราทอสเธนีส (Eratosthenes) และเขาได้เสนอทฤษฎีว่า มหาสมุทรรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และเสนอเป็นคนแรกว่า อาจจะเดินทางไปถึงอินเดียได้ถ้ามุ่งไปทางตะวันตก ซึ่งก็หมายถึงโลกกลมนั่นเอง

ด้านการแพทย์ ผู้ศึกษากายวิภาคที่เดนที่สุดก็คือ เฮโรฟิลัส (Herophilus) เขาได้อธิบายเรื่องของสมองหน้าที่ของสมองสวนต่างๆ และได้ค้นพบการเต้นของชีพจรซึ่งมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรค เขายังได้เสนอวา ในหลอดโลหิตจะมีแต่เลือด ซึ่งต่อมาข้อเสนอนี้มีประโยชน์ต่อการศึกษาเรื่องของโลหิต

ส่วนผู้ที่นำเสนอพัฒนาการความคิดด้านฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคน หนึ่งก็คือ อาร์คิมิดีส (Archimedis) โดยได้ค้นพบวิธีวัดความถ่วงจำเพราะโดยพยายามหาวิธีพิสูจน์ความคดโกงของช่าง ทองที่นำเงินมาผสมกับทองที่พระเจ้าแผ่นดินให้ทำมงกุฎ และทำมงกุฎให้มีน้ำหนักเท่ากับทองที่ได้รับไปมาถวาย อาร์คิมิดีสสามารถคิดหาวิธีวัดความถ่วงจำเพาะของทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งแตกต่างไปจากความถ่วงจำเพาะของทองคำที่ผสมเงินนั้นได้ เหตุการณ์สำคัญที่ช่วยให้อาร์คิมินีสคิดได้ก็คือ การย่างเหยียบลงไปในอ่างน้ำ ซึ่งเป็นผลให้น้ำล้นออกมาจากอ่า หลักสำคัญที่เขาพบก็คือ สิ่งที่ลอยอยู่จะมีน้ำหนักกลดลงเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่ นอกจากนี้อาร์คิมินีสยังได้ค้นพบวีวัดแรงดึงดูดและได้วางกฎเกี่ยวกับการใช้ คานงัด และลูกรอก เขาได้พิสูจน์โดยการชักรอกเรือ ซึ่งบรรทุกน้ำหนักเต็มที่ขึ้นจากน้ำมาบนบกโดยใช้ฟันเฟืองและลูกรอก

เมื่อถึงสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ประมาณ ค.ศ. 1300-1600 หรือเป็นเวลาราว 1,000 ปี หลังจากที่ชาวกรีกโบราณได้เริ่มต้นแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ความเจริญรุด หน้าก็ได้ปรากฏอย่างชัดเจนอีกในด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ การแพทย์ และฟิสิกส์ ซึ่งท้งหมดล้วนมีผลสะท้อนความคิดต่อโลกในปัจจุบัน

ทางด้านดาราศาสตร์ ได้มีการพิสูจน์ทฤษฎี ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล (Heliocentric theory) ซึ่งอริสตาร์คัน ชาวกรีกได้เสนอไว้ตั้ง 300 ปีก่อนคริสตกาล แต่ไม่เป็นที่ยอมรับ และต่อมายังถูกปฏิเสธแลบดบังโดยทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (Geocentric theory) ซึ่ง ปโตเลมี (Ptolemy) (ค.ศ.127-151) นักวิทยาศาสตร์สมัยโรมันรุ่งเรืองได้เสนอไว้ ในสมัยนั้นทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับเพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายและด้วยตา เปล่า แต่ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นิโคลัส โคเปอร์นิคุส (Nicholas Copernicus, ค.ศ. 1476-1543) ก็เป็นผู้ปฏิเสธทฤษฎีของปโตเลมี และพิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยได้ศึกษา สังเกต และวิเคราะห์ ในที่สุดโคเปอร์นิคุสก็แน่ใจว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง โลกและดาวดวงอื่นๆ เป็นฝ่ายโคจรรอบดวงอาทิตย์และได้เขียนเป็นตำราไว้ชื่อว่า “การเปลี่ยนแปลงของการโคจรของเทหวัตถุในท้องฟ้า (on the revolutions of Celestial Bodies) แต่โคเปอร์นิคุสก้ไม่กล้าเปิดเผยทฤษฎีของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามหนังสือของเขาก็ได้รับการตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1543 ซึ่งเป็นช่วงที่โคเปอร์นิคุสใกล้สิ้นชีวิตแล้ว

ต่อมากาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ได้ศึกษาค้นคว้าต่อ เขาได้ใช้กล้องโทรทัศน์ ซึ่งโจฮัน ลิปเปอร์ชี (Johannes Lippershy) ประดิษฐ์ไว้ จากการใช้กล้องโทรทัศน์นี้กาลิเลโอได้ความรู้เพิ่มเติมทางดาราศาสตร์หลาย ประการ เขาสังเกตเห็นวงวงแหวนของดาวเสาร์ เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ เป็นต้น ผลจากการศึกษาค้นคว้าของกาลิเลโอ นับเป็นการยืนยันทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางที่เสนอไว้โดยโคเปอร์นิคุสว่า ถูกต้อง

ทางด้านฟิสิกส์ ผู้ที่เข้าใจและสนใจโครงสร้างตลอดจนกลไกของธรรมชาติก็คือ ลีโอนาร์โด ดา วินซี (Leonardo da vinci) ชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นทั้งนักจิตรกรและนักวิทยาศาสตร์ เขาพยายามเข้าใจธรรมชาติเพื่อใช้ในการวาดภาพ และการหล่อรูป เช่น การเคลื่อนไหว การขยายตัวของกล้ามเนื้อแต่ละส่วน การเจริญเติบโตตามธรรมชาติของสัตว์ และพืช โดยการคิดคำนวณอย่างละเอียด จากสมัยของลีโอนาร์โดเป็นต้นมา การเหตุผลและการทดลองได้กลายเป็นพื้นฐานของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้นลีโอนาร์โดยังได้ประดิษฐ์เครื่องระบายน้ำ อาวุธปืนกล และยุทโธปกรณ์อื่นๆ อีกทั้งยังคิดสร้างเครื่องขับเคลื่อนในทางดิ่ง ซึ่งเป็นการสอนงความต้องการของมนุษย์ในด้านกรบิน นับเป็นต้นเค้าของเครื่องเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน

ความแตกต่างของความคิดด้านศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์
เมื่อพูดถึงความคิดเกี่ยวกับความจริง โลกและมนุษย์ตามทัศนะทางศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ และละกลุ่มก็มีทัศนะย่อยๆ และแตกต่างกันออกไป ดังนี้
  1. ความคิดทางศาสนา เกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา และการอุทิศตนรวมถึงการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การมองโลก มองชีวิตและมนุษย์ในโลกทัศน์แบบนี้อยู่ในกรอบขอบข่ายของศาสนาแต่ละศาสนาโดย มีความเชื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการแสดงความคิดหรือโลกทัศน์ตามที่ตนเองตั้ง ไว้ เช่น ศาสนาฮินดูก็มองว่า มนุษย์ และโลกเกิดมาจากการสร้างของพระพรหม คริสต์มองว่า โลกและมนุษย์เกิดมาจากการสร้างของพระเจ้า เป็นต้น
     
  2. ความคิดทางปรัชญา โลกทัศน์แบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสงสัย (Wender) การไตร่ตรอง (Reflection) การโต้แย้งด้วยเหตุผล ( Argument) และการวิพากษ์ (Critique of) เกี่ยวกับความจริงเกี่ยวกับมนุษย์และโลก โดยพยายามตั้งคำถามที่หลากหลาย เช่น คุณคือใคร? โลกนี้มาจากไหน? เราจะดำรงอยู่อย่างไร? ความจริงเป็นอย่างไร? ความหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน? ชีวิตที่ดีคืออะไร? ความถูกผิด ควร ไม่ควร ตัดสินตรงไหน เรามีเสรีภาพไหม? เป็นต้น ซึ่งมีทัศนะย่อยๆ คือ สสารนิยม จิตนิยม ธรรมชาตินิยม และอัตถิภาวนิยม เป็นต้น
     
  3. ความคิดทางวิทยาศาสตร์โลกทัศน์แบบนี้ตั้งอยู่บนข้อเท็จ จริง การทดลอง พิสูจน์และอธิบาย เป็นการศึกษาแนวความคิดเกี่ยวกับชีวะหรือ กายภาพ และที่สำคัญคือ การแสวงหาความจริงเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์และโลกตามตามขอบเขตโลกทัศน์ของวิทยา ศาสตร์ วิทยาศาสตร์แต่ละยุคแต่ละสมัยก็อธิบายโลกและมนุษย์ต่างกันออกไป เช่น ทฤษฎีจักรวาลของนิวตันมองโลกอย่างหนึ่ง ทฤษฎีของไอน์สไตน์มองอีกอย่างหนึ่ง ทฤษฎีของชาร์ล ดาร์วินก็อธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับความคิดทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้ามา เกี่ยววิถีชีวิตของมนุษย์ เช่น ปัญหาเรื่องพันธุวิศวกรรมศาสตร์ หรือพืช GMO ปัญหาเรื่องการทำแท้ง ปัญหาเรื่องการุณยฆาต เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับความคิดด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ความคิดทางวัฒนธรรม ศาสนา จริยธรรม และศีลธรรม เป็นต้น
เมื่อกล่าวโดยสรุป ความคิดของมนุษย์ซึ่งเป็นที่หล่อหลอมภูมิปัญญาที่หลากหลายนั้น สามารถสรุปเป็นองค์ความรู้ได้ 3 หมวดใหญ่ ๆ คือ ความคิดทางศาสนา ความคิดทางปรัชญา และความคิดทางวิทยาศาสตร์

แหล่งที่มา : http://www.baanjomyut.com/library_2/origin_of_civilization/index.html
 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น